Menu Close

วิธีตรวจสอบความเหมาะสมของโครงสร้างเงินเดือน

เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าโครงสร้างเงินเดือนที่ทำขึ้นมีความเหมาะสม แข่งกับตลาดได้? ความเหมาะสมดูจากอะไร?

โครงสร้างเงินเดือนที่เหมาะสมควรมีลักษณะดังนี้ครับ

               1. มีความยุติธรรมภายใน (Internal Equity)

                              โครงสร้างเงินเดือนถูกจัดทำขึ้นบนพื้นฐานของระดับค่างาน (Job Grade) ที่ได้รับการประเมินค่างานตามระดับความยาก ความซับซ้อนและมูลค่าของงาน ตำแหน่งที่มีมูลค่าสูงก็จะต้องได้รับค่าจ้างเงินเดือนสูงกว่าตำแหน่งงานที่มูลค่าน้อยกว่า ไม่ควรทำให้พนักงานมีความรู้สึกที่ว่า “พี่ไม่เห็นทำอะไรเลย ทำไมได้เงินเดือนมากกว่าผม แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย”

               2. มีความยุติธรรมภายนอกหรือแข่งขันกับตลาดแรงงานได้ (External Equity)

                              การกำหนดเส้นการจ่ายค่าจ้าง (Pay line) หรือค่ากลางของแต่ละกระบอกเงินเดือนจะต้องวิเคราะห์จากอัตราเฉลี่ยการจ่ายของตลาดแรงงาน ไม่ใช่เอาตัวเลขมาจากความรู้สึกหรือคิดไปเอง โดยมิได้อ้างอิงข้อมูลค่าจ้างของตลาดแรงงาน  

               3. ความเหลื่อมล้ำและความชันของกระบอกเงินเดือนมีความเหมาะสม

               สถิติที่เรามักจะใช้พิจารณาดูว่าโครงสร้างเงินเดือนที่ทำขึ้นโอเคหรือไม่โอเค คือ ค่าความเหลื่อมล้ำของกระบอกเงินเดือน (Overlap) และความชันของค่ากลางของกระบอกเงินเดือน (Midpoint Progress)

                              ค่าความเหลื่อมล้ำของกระบอกเงินเดือน (Range Overlap) สามารถคำนวณด้วยสูตรดังนี้

                                             = ((ค่าสูงสุดของกระบอกล่าง – ค่าต่ำสุดของกระบอกบน) / (ค่าสูงสุดของกระบอกบน – ค่าต่ำสุดของกระบอกบน) * 100

ค่าเหลื่อมล้ำ ความหมาย
สูง กระบอกเงินเดือนเหลื่อมล้ำกันมาก ค่างานแตกต่างกันไม่มาก
ต่ำ กระบอกเงินเดือนเหลื่อมล้ำกันน้อย ค่างานแตกต่างกันพอสมควร/มาก

                              ส่วนค่าความชันของค่ากลางของกระบอกเงินเดือน (Midpoint Progress : MP.P.) มีสูตรดังนี้

                              = ((ค่ากลางของกระบอกบน – ค่ากลางของกระบอกล่าง) / ค่ากลางของกระบอกล่าง) * 100

ค่าความชันของค่ากลางกระบอก ความหมาย
สูง กระบอกเงินเดือนเหลื่อมล้ำกันน้อยและค่างานแตกต่างกันมาก
ต่ำ กระบอกเงินเดือนเหลื่อมล้ำกันมากและค่างานแตกต่างกันน้อย

               โครงสร้างเงินเดือนที่เราออกแบบก่อนหน้านี้ พบว่ามีค่าเหลื่อมล้ำ 52% และความชันของกระบอกเงินเดือนเท่ากับ 31%

Job Grade Min Midpoint Max Range Spread Overlap Midpoint Progression
1 6,748    10,122 13,496 100%  –  
2 8,866    13,300 17,733 100% 52% 31%
3 11,650    17,474 23,299 100% 52% 31%
4 15,306    22,960 30,613 100% 52% 31%
5 20,111    30,167 40,222 100% 52% 31%
6 26,424    39,636 52,848 100% 52% 31%
7 34,719    52,078 69,437 100% 52% 31%
8 45,617    68,425 91,233 100% 52% 31%

                              การพิจารณาความเหมาะสมก็อาจจะขึ้นอยู่กับปรัชญาการจ่ายของบริษัท ถ้าเป็นบริษัทสัญชาติตะวันตกค่าเหลื่อมล้ำจะไม่สูงมาก ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 25-35% ค่าความชันของค่ากลางก็จะสูงหน่อย 35% ขึ้นไป แต่สำหรับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่ปรัชญาการจ่ายค่าจ้างแตกต่างไปจากตะวันตก ค่าเหลื่อมล้ำจะสูงกว่า อยู่ที่ประมาณ 70% และค่าความชันของค่ากลางจะต่ำกว่า 30% (พูดง่าย ๆ คือค่างานระหว่างกระบอกเงินเดือนของบริษัทสัญชาติตะวันตกจะสูงกว่าบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น การปรับเงินเดือนแต่ละครั้งจะสูงกว่า และจูงใจพนักงานมากกว่าสไตล์ญี่ปุ่น)

               4. เชื่อมโยงกับผลงานและขวัญกำลังใจของพนักงาน

               ต่อให้เราออกแบบโครงสร้างเงินเดือนดูดีแค่ไหน จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าผลงานของพนักงานยังเหมือนเดิม พนักงานทำงานเช้าชามเย็นชาม อยู่กันไปเรื่อย ๆ เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผลงานมีแต่ทรงกับทรุด แบบนี้บริษัทจะบอกว่าจะทำโครงสร้างเงินเดือนที่ทำไปเพื่ออะไร แค่ให้มีแต่ไม่ส่งผลต่อธุรกิจ ก็ไม่มีประโยชน์

               ดังนั้นโครงสร้างเงินเดือนที่สร้างขึ้นจะต้องกระตุ้นให้พนักงานรีดผลงานออกมาเป็นอย่างดี ใครมีผลงานค่าจ้างเงินเดือนก็ควรจะดีและจูงใจพนักงาน ส่วนใครที่ผลงานไม่ดี ทำงานเหมือนเดิม ค่าจ้างเงินเดือนก็เหมือนเดิม แบบนี้จึงจะถือว่าโครงสร้างเงินเดือนที่ทำขึ้นเหมาะสมทั้งต่อพนักงานและบริษัท

               แต่อาจจะไม่เหมาะกับพนักงานที่ผลงานไม่ดีหรือไม่ยอมพัฒนาตัวเองนะครับ 55555

ที่มา : หนังสือเรื่อง “โครงสร้างเงินเดือน ออกแบบและบริหารอย่างไรให้เหมาะสม” (ดร.สุพจน์ นาคสวัสดิ์)