Menu Close

สอนพนักงานอย่างไรให้โดนใจสมอง

ขงจื้อ กล่าวว่า…

ฉันได้ยิน แล้วฉันก็ลืม

(I hear and I forget)

ฉันเห็น ฉันก็จำได้

(I see and I remember)

ฉันทำ ฉันจึงเข้าใจ

(I do and I understand)

               ทักษะการสอนงานของท่านเป็นอย่างไรบ้างครับ ดีเยี่ยมแค่ไหน (หลายคนตอบว่าก็ดีเยี่ยมซิ แต่เวลาไปถามคนอื่น เช่น ลูกน้อง กลับบอกว่าสอนไม่ได้เรื่องเลยครับพี่) ปัจจุบันจึงมักจะได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ว่าหัวหน้างานหรือคนโน้นคนนั้นสอนงานไม่ได้เรื่องเลย แล้วถามว่าคนไทยมีทักษะการสอนกันดีมากน้อยแค่ไหน?

               เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราไปดูลักษณะหรือกระบวนการ “สอนงาน” กันสักนิดครับว่ามีลักษณะหรือขั้นตอนอย่างไรบ้าง ซึ่งปกติแล้วการสอนงานจะประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้

                                             1. เตรียมข้อมูลและอุปกรณ์/เครื่องมือการสอน

                                             2. อธิบายสิ่งที่จะสอน

                                             3. ให้ผู้เรียน/พนักงานลงมือทำตามที่อธิบาย

                                             4. ป้อนข้อมูลกลับ (Feedback) ว่าเป็นสิ่งใดขาดตกบกพร่องหรือดีสมบูรณ์เพียงใด (ถ้ายังไม่ดีพอก็ให้ลงมือทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถทำได้)

               ก็เคยสงสัยเหมือนกันว่า “คนไทยเราส่วนใหญ่ สอนหรือแค่บอก?” เพราะหลาย ๆ ครั้งเรามักจะได้ยินว่า “สอนแล้วไม่จำ” “สอนไปไม่รู้กี่ครั้ง แล้วทำไมยังทำไม่ได้” ฯลฯ พอมานั่งคิดทบทวนดี ๆ ก็รู้สึกว่าคนไทยเราส่วนใหญ่น่าจะยังไม่ได้สอนกันจริง เป็นเพียงแค่การบอกเท่านั้น คล้าย ๆ กับการอธิบายของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่อธิบายการปฏิบัติเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน ก็ไม่รู้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์จริง ๆ แล้วจะมีผู้โดยการปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องกี่คน (เพราะไม่เคยได้ลงมือปฏิบัติจริง ๆ แค่เพียงฟังการอธิบายเท่านั้น)

               แล้วคนเรามีการเรียนรู้ (สมอง) อย่างไรนะ?

               สมัยเรียนเคยพูดกันเล่น ๆ ในกลุ่มเพื่อน ๆ ว่า ไม่ต้องอ่านหนังสือหรอก ไปนั่งติวหรือฟังเพื่อนติวก็สอบผ่านแล้ว ที่น่าประหลาดใจก็คือบางครั้งได้คะแนนมากกว่าคนที่อ่านหนังสือเสียอีก ผู้เขียนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งมีโอกาสได้เรียนรู้ศาสตร์ด้านสมอง ทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์ของคนที่นั่งฟังเพื่อนติวได้คะแนนมากกว่าคนที่อ่านอย่างเดียว ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน แล้วผู้เขียนจะค่อย ๆ บอกเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

               ผู้เขียนถามตัวเองเล่น ๆ ว่าคนเราจะเรียนรู้และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้เท่าไหร่ ประกอบกับมีเพื่อนส่งบทความมาให้อ่านพอดี และรู้สึกว่าสอดคล้องกับการทำงานของสมองในเรื่องการสอนงาน บทความดังกล่าวซึ่งผู้เขียนไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เขียนขึ้น ระบุว่า

                              คนเราจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ประมาณ…

  • 1% จากการลิ้มรส
  • 1.5% จากการสัมผัส
  • 3.6% จากการได้กลิ่น
  • 11% จากการได้ฟัง
  • 83% จากการได้เห็น

และคนเราจะจดจำสิ่งต่างๆ ได้ประมาณ….

  • 10% จากการอ่าน
  • 20% จากการได้ฟัง
  • 30% จากการได้เห็น
  • 50% จากการได้ฟังและได้เห็น
  • 70% จากการได้พูดหรือได้เขียน
  • 90% จากการได้พูดและกระทำ

ท่านว่าจริงหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจตัวเลข เพราะมันไม่สำคัญเท่ากับนัยสำคัญของข้อความเหล่านี้ที่กำลังบอกเราว่า เราจะเรียนรู้ได้ดีผ่านประสาทการมองเห็น (สายตา) และเราจะจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีถ้าเราได้พูดและลงมือปฏิบัติ ที่บอกว่าสอดคล้องกับการทำงานของสมองนั้นเนื่องจากสมองมีหลักการสำคัญ 3 ประการคือการลงรหัส (Encoding) การเก็บรักษา (Storage) และการเรียกข้อมูล (Retrieval) หรือถ้าจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือทำอย่างไรให้สมองสนใจ (Attention & Perception) และทำอย่างไรให้ข้อมูลที่เรียนรู้คงทน ไม่ลืมหายไปจากสมอง (Maintaining) วิธีจะเรียนรู้และจดจำได้ดีที่สุดคือ การได้ลงมือปฏิบัติ ส่วนประเด็นที่ผู้เขียนบอกว่าคนนั่งฟังเพื่อนติว อาจจะได้คะแนนสอบดีกว่าคนอ่าน เพราะการอ่าน (ถ้าไม่อ่านทวนซ้ำ ๆ และเข้าใจจริง ๆ) สมองจะต้องทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น การแยกแยะตัวอักษร การผสมคำและความหมายของคำหรือประโยค ทำให้จำได้น้อยกว่าคนที่ฟังอย่างเดียวที่สมองไม่ต้องทำงานซับซ้อนมากมาย

ดังนั้นการสอนงานที่จะทำให้โดนใจสมอง และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุดก็ควรจะต้องใช้หลักการเรียนรู้สมองเป็นฐาน (NeuroCoaching) ซึ่งมีลักษณะดังนี้

               การสอนงานหรือ Coaching ด้วยแนวคิดพื้นฐานของศาสตร์ด้านสมอง (Brain) ผู้เขียนขอตั้งชื่อว่า NeuroCoaching โดยใช้คำว่า Neuro ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า Neuron ที่แปลว่าเซลล์สมอง การสอนงานโดยสมองเป็นฐานประกอบด้วย 2 แนวคิดสำคัญ คือ การสร้างความสนใจให้กับสมองเพื่อที่จะรับรู้ได้ง่าย และการสร้างความคงทนของข้อมูลในสมอง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

การสร้างความสนใจของสมอง (Attention) การทำให้สิ่งที่เรียนรู้คงทนอยู่ในสมอง (Maintaining)
1. ออกแบบสิ่งที่เรียนรู้ให้ดูแปลกใหม่ น่าสนใจ 1. การประยุกต์สิ่งที่เรียน (Apply)
2. ออกแบบสิ่งที่เรียนรู้ให้เหมาะสม ไม่มากเกินไป เนื่องจากสมองมีพื้นที่จำกัด 2. การลงมือปฏิบัติจริง (Action Learning)
3. ออกแบบสิ่งที่เรียนรู้ด้วยภาพ สีสัน และความหมายหรือคุณค่าของสิ่งที่เรียนรู้ 3. ฝึกการเรียกคืนข้อมูลที่บันทึกไว้ในสมอง (Reminding)
4. ออกแบบสิ่งที่เรียนรู้ให้เห็นภาพรวมไปหาภาพย่อย 4. การทำซ้ำ (Repeating)
5. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้เชื่อมกับสิ่งที่ผู้เข้าอบรมคุ้นเคย 5. การทำซ้ำ (Repeating)
6. ออกแบบสื่อการสอนให้มีความสัมพันธ์กัน 6. การทำซ้ำ (Repeating)
7. ออกแบบการฝึกอบรมให้สมองมีความสุข มีอารมณ์อยากเรียนรู้ เช่นการบริหารสมอง การเล่นเกมส์คั่นการบรรยาย 7. การทำซ้ำ (Repeating)
8. ควบคุมเวลาการสอนแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 1 – 1.5 ชั่วโมง เพื่อให้สมองได้พักผ่อนบ้าง 8. การทำซ้ำ (Repeating)

               อย่าเพิ่งต่อว่าผู้เขียนว่าเขียนอะไรซ้ำซ้อน (ข้อ 4 – 8 การทำซ้ำ) ผู้เขียนเจตนาจะสื่ออย่างนั้นจริง ๆ ว่าหลักสำคัญที่สุดของสมองในการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ การทำซ้ำ ๆ ถ้าเราอยากเก่งเหมือนนักกีฬาโอลิมปิก เราก็ต้องขยันซ้อม ซ้อม ซ้อม และก็ซ้อม ทำซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็จะเก่งไปเอง อยู่ที่ว่าเราจะอดทนได้หรือไม่

               การสอนงานเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงาน ผลการวิจัยที่ผ่านมาก็บ่งบอกแล้วว่า การสอนงานที่ดีเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกดีและผูกพันกับผู้สอน หัวหน้างาน และองค์กร เพราะฉะนั้นผู้สอนงานไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน วิทยากร หรือใครก็ตามควรมีความเข้าใจศาสตร์ด้านสมอง เช่น ต้องเข้าใจว่าพนักงานแต่ละคนมี “ทักษะการเรียนรู้” แตกต่างกัน ผู้สอนจะต้องออกแบบเครื่องมือการสอนให้สอดคล้องกับทักษะการเรียนรู้ของแต่ละคน ให้เข้าใจว่าสมองของคนเราชอบเรียนรู้เป็นภาพหรือสีสันมากกว่าตัวอักษร ได้เห็นของจริงหรือเห็นตัวอย่าง ได้ฝึกทำและลงมือปฏิบัติจริง จะช่วยให้เรียนรู้ได้ดี แต่การสอนงานต่อให้ดีมากแค่ไหนก็ตาม จะไม่เกิดประโยชน์เลย ถ้าสอนแล้วพนักงานไม่ได้เอาไปใช้จริง ดังนั้นเมื่อสอนแล้วสิ่งที่ต้องตระหนักอย่างจริงจังก็คือการติดตามหลังจากฝึกอบรม ต้องมั่นใจว่าพนักงานหรือผู้เข้าอบรมได้นำความรู้ไปปฏิบัติจริง ๆ สุดท้ายถ้าพนักงานยังทำงานไม่ดี ไม่เข้าใจ ก็ให้เข้าใจว่าเกิดจากผู้สอน ไม่ได้เกิดจากตัวพนักงาน เพื่อเราจะได้หาวิธีการสอนให้ดีขึ้นในโอกาสต่อไป

               ความเข้าใจเรื่องการทำงานของสมองกับการสอนงาน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ปฏิบัติงานฝึกอบรม เพราะถ้าเข้าใจจะช่วยให้ออกแบบหรือคิดค้นเทคนิคการสอน การอบรมให้พนักงานเกิดการเรียนรู้ได้ดี วิธีการสอนงานที่ถือว่าดีที่สุดคือ ผู้เรียนหรือผู้เข้าอบรมได้ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง และปฏิบัติซ้ำ ๆ อย่างสม่ำเสมอด้วยอารมณ์ที่มีความสุข

               อย่างไรก็ตาม ขอฝากสมการเรียนรู้ให้ท่านกลับไปขบคิดกันสักนิดว่า…

                                          การเรียนรู้  = ความสามารถ x แรงจูงใจ

               ปกติปัญหาการเรียนรู้จะอยู่ที่แรงจูงใจของผู้เรียนใช่มั้ยครับ ถ้าแรงจูงใจเท่ากับศูนย์ สมการเรียนรู้ก็จะเท่ากับศูนย์ หรือไม่เกิดการเรียนรู้นั่นเอง ดังนั้นอย่าลืมหาวิธีการสร้างแรงจูงใจผู้เรียนก่อนเริ่มการเรียนรู้นะครับ

แหล่งที่มา : หนังสือเรื่อง Neuro-Training ผ่าสมองสอนพนักงาน (ดร.สุพจน์ นาคสวัสดิ์)