Menu Close

แนวคิดใหม่ของการพัฒนาภาวะผู้นำด้วยนิวโรซายส์ (NLDP – Neuro Leadership Development Program) (ตอนที่ 2)

              ตอนที่แล้วผมพาท่านไปทำความรู้จักกับแนวคิดใหม่ของการพัฒนาภาวะผู้นำด้วยนิวโรซายส์ ซึ่งผมเรียกว่าเป็นการปฏิบัติการเรียนรู้ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์กันเลยทีเดียว และผมก็ได้แสดงให้ท่านผู้อ่านได้เห็นเกี่ยวกับแนวคิดนิวโรซายส์ที่อธิบายถึงกระบวนการเรียนรู้ของสมอง ว่าสมองส่วนต่างๆทำงานกันอย่างไร (Cognitive Neuroscience) ซึ่งการพัฒนาภาวะผู้นำก็คือ “การเรียนรู้” สิ่งต่างๆแล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในแนวคิดที่ต้องการ แน่นอนจะพบว่าบางคนก็พัฒนาภาวะผู้นำได้ดี แต่ส่วนใหญ่มักจะล้มเหลว จึงเกิดคำถามในองค์การต่างๆ ว่าทำไมการพัฒนาภาวะผู้นำจึงช่างยากลำบากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาน้ำแข็ง จะมีวิธีอะไรบ้างหรือไม่ที่จะพัฒนาและทำให้พนักงานมีภาวะผู้นำขึ้นมาได้ คำถามเหล่านี้ยังวนเวียนอยู่ในชีวิตของพวกเราในปัจจุบัน

               การเรียนรู้ในชีวิตของคนเรามองได้ 2 มิติคือมิติที่หนึ่งที่มองว่า “คุณลักษณะต่างๆ” ของเราติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถ่ายทอดมาจากพันธุกรรมหรือยีนพันธุกรรม (Gene) อีกมิติหนึ่งคือการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ต่างๆที่แต่ละคนประสบพบเจอทั้งจากครอบครัว โรงเรียน เพื่อน หรือเทคโนโลยีต่างๆในปัจจุบัน ถามว่ามิติไหนมีความสำคัญมากกว่ากัน นักวิชาการโดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ด้านสมอง (Neuroscienctist) ได้ศึกษาและสรุปตรงกันว่ามิติที่สองนั่นก็คือการเรียนรู้ของสมองจากนสภาพแวดล้อมที่เราดำรงชีวิตมีอิทธิพลมากกว่าการถ่ายทอดจากพันธุกรรม (Daniel D., 2013) สมองเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลก ถ้าเปรียบเหมือนเด็ก ก็เป็นทั้งเด็กว่านอนสอนง่ายและเด็กดื้อ พูดง่ายๆ ถ้าพ่อแม่สอนอย่างสม่ำเสมอและทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง (ไม่ใช่แค่บอกนะ การสอนรวมถึงการทำให้ดู การทำเป็นตัวอย่าง เป็นต้น) สมองของเด็กก็จะเชื่ออย่างนั้น แต่ถ้าพ่อแม่ไม่สอน สมองของเด็กก็จะเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมของสังคม (โดยไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี) ด้วยตัวของมันเอง เมื่อมันเรียนรู้เรื่องเดิมๆไปนานๆ สิ่งเหล่านั้นก็จะอยู่คู่กับเด็กคนนั้นไปจนตายเพราะมันถูกบันทึกไว้เป็น “ความจำ” ที่สมองจัดเก็บไว้อย่างแน่นหนา (การเชื่อมกันของเซลล์ประสาท) ตัวอย่างเช่น ตอนเด็กๆ เวลาพูดอะไรกับผู้ใหญ่ก็จะถูกตำหนิว่า “เถียง” โตขึ้นก็จะเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น (คนไทยส่วนใหญ่ๆมักจะเป็นอย่างนั้นใช่มั้ยครับ?) ดังนั้นการพัฒนาภาวะผู้นำ (รวมถึงการพัฒนาในด้านต่างๆทุกเรื่อง) ถ้าจะให้ดีจะต้องพัฒนาตั้งแต่เด็กๆ เพราะมิฉะนั้นแล้วก็เหมือนคำสุภาษิตไทยที่ว่า “ไม้แก่ดัดยาก” ซึ่งบางคนอาจจะเพิ่มเติมว่าไม่ใช่ยากธรรมดานะ “โคตรยากเลย”

              
วิธีการเปลี่ยนแปลง “กรอบแนวคิด”…พื้นฐานของการพัฒนาภาวะผู้นำ
การพัฒนาภาวะผู้นำในเมืองไทยปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการขาด “ความรุ้” (Knowledge) แต่จริงๆแล้วอยู่ที่ความเชื่อ ค่านิยม นิสัย ฯลฯ ที่หล่อมหลอมเป็น “กรอบแนวคิด” ที่ฝังรากลึกอยู่ในสมอง (ไม่ได้อยู่ในหัวใจนะครับ) ดังนั้นวิธีการฝึกอบรมที่องค์การต่างๆใช้อยู่ในปัจจุบันจึงไม่มีประสิทธิภาพเพราะยังไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องการพัฒนากรอบแนวคิดของพนักงาน (เมื่อยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกรอบแนวคิด ความรู้ที่สอนไปก็แทบจะไม่มีความหมายอะไรมากนัก)  การเปลี่ยนกรอบแนวคิดหรือการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทใหม่ มีอยู่ 3 แนวทางสำคัญๆ คือ


Malcolm Gladwell

1. การใช้จุดหักเห (Tipping Point) ของชีวิต Malcolm Gladwell ผู้เขียนเรื่อง Tipping Points : How Little Things Can Make a Big Difference ได้ให้นิยามของคำว่า จุดหักเห ว่าหมายถึง ห้วงเวลาของความพรั่งพรู เปิดประตูบานใหญ่และจุดเดือดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่อย่างคาดไม่ถึง ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดที่ฝังลึกมานาน ต้องการให้เซลล์ประสาทของสมองเกิดการเชื่อมโยงกันใหม่ จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “จุดหักเห” ที่เป็นเรื่องสำคัญๆและยิ่งใหญ่ที่กระทบต่อความรู้สึกของคนๆนั้นจริงก็จะทำให้บุคคลนั้นสามารถเปลี่ยนความคิดได้ เช่น พ่อที่สูบบุหรี่และเจ็บป่วยอย่างหนักเกือบเสียชีวิตจนต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วลูกๆได้ขอร้องให้คุณพ่อเลิกสูบบุหรี่ กรณีนี้ก็อาจจะเป็นจุดหักเหของชีวิตที่ทำเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดได้ 
2. การใช้พลังสังคมหรือค่านิยมขององค์การ (Power of Group/Cooperate Culture) แนวทางที่สองที่จะทำให้พนักงานเปลี่ยนแปลงความคิดคือการใช้พลังของสังคมหรือวัฒนธรรมองค์การ เช่น องค์การต้องการให้พนักงานมีภาวะผู้นำ กล้าแสดงความคิดเห็น ดังนั้นองค์การก็จะต้องสร้างวัฒนธรรมองค์การที่ให้ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็นและทำให้เป็นเรื่องปกติเป็นวัฒนธรรมในองค์การ สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้พนักงานต้องปรับตัวให้เข้ากับลักษณะแนวปฏิบัติของวัฒนธรรมองค์การและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความคิดในที่สุด
3. การฝึกอบรม/พัฒนา (Training & Development) แนวทางนี้เป็นแนวทางที่ทุกองค์การใช้กันมากที่สุดเนื่องจากการใช้แนวทางจุดหักเหและการใช้พลังสังคมเป็นสิ่งที่ทำและควบคุมได้ยาก แต่การใช้วิธีการฝึกอบรมและพัฒนาเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะโจทย์ใหญ่และสำคัญก็คือจะออกแบบการฝึกอบรมอย่างไรให้พนักงานเกิดการ “เรียนรู้” และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจริงๆ (การเปลี่ยนแปลงจริง ๆ = การเปลี่ยนกรอบแนวคิด (Paradigm shift) = การเชื่อมกันของเซลล์ประสาทของสมอง (Nueron)) ซึ่งในอดีตการออกแบบการเรียนรู้หลักสูตรการเรียนการสอนมีพื้นฐานแนวคิดเชิงพฤติกรรม (Cognitive Psychology) และปัจจุบันเกิดนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่เกิดขึ้นที่ทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองมากขึ้น ทำให้รู้ว่าควรจะออกแบบการเรียนรู้อย่างไรให้เหมาะสมกับการทำงานของสมองและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามที่เราต้องการจริงๆ นวัตกรรมการเรียนรู้ที่ว่าก็คือ “การเรียนรู้แบบนิวโรซายส์ (Cognitive Neuroscience)

วิธีออกแบบการฝึกอบรมและพัฒนาด้วยแนวคิดนิวโรซายส์
การฝึกอบรมที่จะให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามแนวคิดการเรียนรู้แบบนิวโรซายส์ สามารถสรุปได้ดังภาพที่ 1 ดังนี้


ภาพที่ 1 แนวคิดการออกแบบฝึกอบรมด้วยนิวโรซายส์

               จากแผนภาพมีประเด็นสำคัญอยู่ 2 ส่วนคือ ทำอย่างไรให้เกิดการเรียนรู้ที่คงทนและยั่งยืน และทำอย่างไรให้เกิดการเรียนรู้สูงสุด สองโจทย์นี้นำไปสู่การออกแบบตามแนวคิดของนิวโรซายส์ได้ดังนี้

                              ทำอย่างไรให้เกิดการเรียนรู้ที่คงทนและยั่งยืน

                              การทำให้เกิดการเรียนรู้ที่คงทนและยั่งยืนในเชิงของแนวคิดนิวโรซายส์ก็คือการทำให้เซลประสาทของสมองเกิดการเชื่อมโยงกันอย่างมั่นคง ดังภาพที่ 2 โดยการกระตุ้นให้สมองทำเรื่องนั้นๆซ้ำๆกันบ่อยๆก็จะทำให้เกิดการเชื่อมกันของเซลล์สมองแน่นหนาขึ้นอันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความคิดของเรื่องนั้นๆอย่างคงทนและยั่งยืน คำถามคือการกระตุ้นการทำงานของสมองให้ทำซ้ำๆ ควรใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ที่จะทำให้เซลล์สมองเชื่อมกันจนเกิดพฤติกรรมอย่างยั่งยืน Lally และทีมงานได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนนิสัยหรือพฤติกรรมการดื่มน้ำหรือการกินผลไม้ พบว่าผู้เข้าทดลองที่ดื่มน้ำและกินผลไม้ติดต่อกันอย่างน้อย 66 วัน จะทำให้คนๆนั้นเปลี่ยนนิสัยหรือพฤติกรรมได้เป็นอัตโนมัติ ดังนั้นการพัฒนาภาวะผู้นำที่จะทำให้เกิดผลจริงๆจะต้องให้ผู้เข้ารับการพัฒนาได้นำสิ่งที่เรียนรู้ไปปฏิบัติจริง (Action Learning) ในหน้างานจริงต่อเนื่องกันอย่างน้อยสัก 60-90 วัน รับรองได้ครับว่าค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปกับการฝึกอบรมไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน


ภาพที่ 2 การเชื่อมต่อกันเป็นวงจรของเซลล์สมอง (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2551)

ทำอย่างไรให้เกิดการเรียนรู้สูงสุด (Maximize Learning)
การออกแบบหลักสูตรการฝึกอบรมพนักงานให้เกิดการเรียนรู้สูงสุดนั้น ผู้ออกแบบจะต้องเข้าใจการทำงานหรือนิสัยใจคอของ “สมอง” ว่าชอบทาน “ข้อมูล” แบบไหน ซึ่งอัครภูมิ จารภากร และ พรพิไล เลิศวิชา (2551) ได้สรุปไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

ตารางที่ 1 สมองชอบข้อมูลแบบไหน

สมองทำงานกับข้อมูลในสถานการณ์แบบใด สมองทำงานอย่างไรกับข้อมล
ถ้ารับข้อมูลด้วยประสบการณ์ตรง จะเข้าใจและจำได้ดีกว่า ในประสบการณ์ตรง การเชื่อมโยงข้อมูลเกิดขึ้นในหลายส่วนของสมองเป็นผลดีต่อการทำงานของวงจร
สมองรับข้อมูลที่คุ้ยเคย หรือข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กับข้อมูลที่คุ้นเคย ได้ดีกว่า การทำงานในวงจรเดิม (ข้อมูลที่คุ้นเคย) หรือ การเชื่อมโยงเพิ่มเติมต่อวงจรเดิมที่มีอยู่แล้ววทำได้ง่าย
ถ้าจะให้คิด ข้อมูลจำนวนพอเหมาะช่วยให้เกิดการคิดง่ายขึ้น และถ้ามีการสร้างความสัมพันธ์ของข้อมูลในชั้นต้นๆไว้ก่อน จะทำให้คิดข้อมูลซับซ้อนต่อไปได้ ในการคิด สมองใช้วงจรข้อมูลเชื่อมโยงเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ ในการทำงานนี้ สมองต้อง “online” ข้อมูลบางวงจรไว้ เรียกว่าใช้พื้นที่ความจำชั่วคราวขณะคิด พื้นที่ความจำชั่วคราวนี้มีจำกัด
ข้อมูลที่มีลักษณะแปลกใหม่ จัดจ้าน มีการเคลื่อนไหว ดึงดูดความสนใจต่อสมอง โครงสร้างวงจรของสมอง พร้อมที่จะประมวลผลข้อมูลประเภทนี้ เพราะมีนัยสำคัญต่อการอยู่รอด ขั้นพื้นฐาน
ข้อมูลที่มีความหมาย มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกัน เป็นข้อมูลที่มีความสำคัญ สมองหาความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของข้อมูล เพื่อคาดการณ์และเตรียมการต่อสิ่งที่อาจเกิดขึ้น เพื่อการอยู่รอด ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การคิดและการจำต้องใช้เวลา การทำงานของวงจรสมอง เป็นกระบวนการทางชีวเคมี การเปลี่ยนแปลงต่างๆใช้เวลา
อารมณ์ มีผลต่อความสนใจรับข้อมูล การคิด และจำ วงจรสมองที่ทำงานด้านอารมณ์ ควบคุมและส่งเสริมวงจรสมองที่ทำงานเรียนรู้
สมองต้องมีสุขภาพดี จึงจะป้อนข้อมูลให้คิดและจำได้ สมองต้องใช้พลังงานและสารโครงสร้าง จากอาหารสร้างวงจรการเรียนรู้

ที่มา : อัครภูมิ จารภากร และ พรพิไล เลิศวิชา (2551)

               จากตารางท่านจะเห็นว่าสมองของคนเราชอบข้อมูลในลักษณะใดบ้าง ดังนั้นถ้าจะออกแบบหลักสูตรการพัฒนาภาวะผู้นำให้เกิดการเรียนรู้ตามที่เราต้องการให้มากที่สุด เราก็ควรตามใจสมองของเรากันหน่อยแล้วกัน อย่าไปขัดใจ “สมอง” เลยครับ มิฉะนั้นแล้วก็เปล่าประโยชน์ จะเห็นว่าลักษณะของข้อมูลที่สมองชอบนั้นมีหลากหลายลักษณะ ผมคงไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ทั้งหมด ขอยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพคร่าวๆ สักหนึ่งตัวอย่างแล้วกัน เช่น ที่บอกว่า “อารมณ์ มีผลต่อความสนใจรับข้อมูล การคิดและจำ…วงจรสมองที่ทำงานด้านอารมณ์ ควบคุมและส่งเสริมวงจรสมองที่ทำงานเรียนรู้” นั่นก็หมายถึงสมองจะเรียนรู้ (เช่น การคิด วิเคราะห์ ความจำ) ได้ดีถ้ามี “อารมณ์” เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นท่านก็จะต้องออกแบบเนื้อหาหรือกิจกรรมที่จะสอน ให้สมองมี “อารมณ์” ที่อยากจะเรียนรู้ (ส่วนของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์คือระบบ Limbic) เช่น การพัฒนาภาวะผู้นำให้กับผู้บริหารใหม่ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา ผู้บริหารใหม่เหล่านี้จะเรียนรู้ได้ดีอย่างแน่นอนเพราะกำลังอยู่ในภาวะที่สมองกำลังมี “ความสุข” (ยกเว้นคนที่ไม่มีความสุขที่ได้เลื่อนตำแหน่งนะครับ) การสร้าง “อารมณ์” ให้เหมาะกับการเรียนรู้ของสมองนั้นมีหลากหลายเทคนิควิธี บางท่านก็อาจจะพอทราบกันบ้างอยู่แล้ว ในฉบับหน้าผมจะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยเพิ่มเติมครับ

               น่าเสียดายที่พื้นที่มีจำกัด วันนี้จึงต้องขอจบแต่เพียงแค่นี้ ฉบับหน้ามาพบกันใหม่กับ “ตัวอย่างโปรแกรมพัฒนาภาวะผู้นำด้วยแนวคิดนิวโรซายส์” สวัสดีครับ…….

บรรณานุกรม
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2551). การค้นพบทางประสาทวิทยาศาสตร์ : นวัตกรรมทางการศึกษา. กรุงเทพ : บริษัท พิมพ์ดีการพิมพ์ จำกัด

อัครภูมิ จารภากร และ พรพิไล เลิศวิชา. (2551). สมอง เรียน รู้ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพ : สถาบันส่งเสริมอัจฉริยภาพและนวัตกรรมการเรียนรู้.

Daniel Didino. (2013). เอกสารการสอนวิชาจิตวิทยาระบบประสาท. มหาวิทยาลัยบูรพา

Lally, P., van Jaarsveld, C. H. M., Potts, H. W. W. and Wardle, J. (2010), How are habits formed: Modelling habit formation in the real world. Eur. J. Soc. Psychol., 40: 998–1009.